
ผ้าทอหนึ่งผืน
บอกอะไรเรามากกว่าเครื่องนุ่งห่มเพื่อซ่อนเร้นความโป๊เปือย
และมากกว่าความสวยงามของลวดลาย คือเรื่องราวอันยาวนานที่ถูกเล่าขานผ่านด้ายทอ
บ้านสวาย
คือหนึ่งในชุมชนทอผ้าที่มีดีมากกว่าผ้าทอ
ย้อนกลับไปในสมัยปลายยุคหินหรือยุคโลหะประมาณ
6000 ปีก่อน
จากการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง และบ้านนาคี อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
พบเศษผ้าที่ติดกับสัมภาระเครื่องมือเครื่องใช้ พร้อมอุปกรณ์ทอผ้าชนิดต่างๆ
อันเป็นสิ่งยืนยันทางประวัติศาสตร์
ถึงวัฒนธรรมการทอผ้าซึ่งมีมายาวนานมากกว่าสิบช่วงอายุคน
วัฒนธรรมการทอผ้าได้แพร่หลายไปตามดินแดนอุษาคเนย์
เครื่องนุ่งห่มแต่ละท้องถิ่น มีกระบวนการและลวดลายแตกต่างกันไป สำหรับตำบลสวาย
อ.เมือง จ.สุรินทร์ คือชุมชนทอไหมที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
เพราะมากกว่าลวดลายที่หลากหลาย และสีย้อมที่รังสรรค์จากจินตนาการ
คือภูมิปัญญาทอไหมอย่างภาคภูมิ ส่งต่อและสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งจนเกิดความชำนาญ
อีกทั้งเชี่ยวชาญพลิกแพลงวิธีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ

การเลี้ยงไหมมีความละเอียดละอ่อนและซับซ้อนอย่างมาก
กว่าตัวไหมโตเต็มวัย ความสะอาดของพื้นที่ สภาพอากาศที่ต้องถ่ายเท คือข้อคำนึงถึง
เพราะอากาศที่ร้อนจัดในหน้าร้อน หนาวเหน็บในหน้าหนาว
ชาวอีสานต้องเผชิญกับโรคภัยของตัวไหม บ่อยครั้งที่สภาพอากาศเป็นสาเหตุต้นๆ
ที่ทำให้หนอนไหมตาย
เกือบทุกครัวเรือนของที่แห่งนี้
ประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ด้วยความไม่แน่นอนของกลไกตลาดข้าว เม็ดเงินจากผลผลิตที่มีอาจไม่เพียงพอต่อคนในครอบครัว
กลุ่มสตรีทอไหมจึงรวมตัวกัน อาศัยต้นทุนจากเครื่องมือทอผ้า
สร้างมูลค่าให้กับผ้าทอของกิจวัตรประจำวัน ส่งออกสู่ตลาดผ้าไหมไทย
ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ ซื้อใช้


ตามปกติ
ชาวอีสานจะเริ่มปลูกข้าว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 เดือนจึงเก็บเกี่ยว เวลาว่างตรงนี้เอง
ผู้หญิงจะเริ่มทอผ้าฝ้ายสำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในปัจจัยสี่ เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม
ผ้าปู เป็นต้น แต่นอกจากทอฝ้ายเพื่อข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนแล้ว
การทอไหมก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วยเช่นกัน เพราะต้องใช้ความประณีต ระยะเวลา
และความอดทนเป็นอย่างมาก ทุกกระบวนการคือความใส่ใจ
และเป็นเครื่องแสดงความสามารถของหญิงอีสานอีกด้วย
ทุกครัวเรือนต้องมีกี่ทอผ้า
และกี่ทอผ้าจะเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้หญิงในบ้าน
หากเดินลัดเลาะไปตามบ้าน
เราเห็น ‘กี่ทอผ้า’ ทุกครัวเรือน ในแง่หนึ่งคือ
สถานที่แห่งนี้เป็นชุมชนทอผ้าใต้ถุนเรือนที่เกิดจากการอนุรักษ์วัฒนธรรมทอผ้าของชุมชนไว้
จนเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์และแถบอีสานใต้
แต่อีกแง่หนึ่งคือกุศโลบายของคนเฒ่าคนแก่ เพราะนอกจากเป็นสินสอดในพิธีแต่งงานแล้ว
ยังกลายเป็นเครื่องมือทำกินทำใช้ของครัวเรือนโดยไม่ต้องซื้อหาให้สิ้นเปลือง


“หมู่บ้านผ้าไหมสวาย” เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวที่อนุรักษ์การทอผ้าไหมไว้มากที่สุดในประเทศ และลวดลายของผ้าไหมที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากอำเภออื่นๆ ในจังหวัดสุรินทร์ มีการนำลายพื้นฐานของชุมชนมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย และด้วยความหลากหลายของลายดั้งเดิมที่ชุมชนมี ก็ยิ่งทำให้สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้อย่างน่าสนใจ กลุ่มทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงและน่าสนใจ ได้แก่
อุตมะไหมไทย
ได้รับการพัฒนาโดย“นายสมบัติ อุตมะ” ที่สร้างชื่อให้ผ้าไหมจากบ้านสวายโด่งดังในระดับประเทศ จากการเป็นผ้านุ่งที่ใช้ในการถ่ายทำละครนาคี “อุตมะไหมไทย” นี้เป็นกลุ่มผ้าไหมทอมือกี่โบราณ สร้างลายเชิงประยุกต์ และทอแบบพิเศษให้มีเชิงในตัว ใช้เทคนิคการย้อมแบบสไลด์สี ซึ่งเป็นที่มาของลายนาคี และด้วยเทคนิคพิเศษของทางร้าน โดยจะทำการมัดหมี่เอง ย้อมเอง และทอเอง (แต่หากมีการสั่งซื้อในจำนวนมาก ก็ต้องมีการจ้างสมาชิกในเครือข่ายของทางร้านทอด้วยเช่นกัน) จึงทำให้ร้านนี้มีความโดดเด่นกว่าร้านอื่นในเรื่องของลวดลายและการผสมสีนั่นเองค่ะ
ศูนย์เรียนรู้การผลิตผ้าไหม
“ป้าสำเนียง บุญโสตกร” ผู้ที่ถูกยกให้เป็นมือหนึ่งของประเทศในด้านการย้อมสีเส้นไหมด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ ได้เปิดบ้านเป็นศูนย์เรียนรู้การผลิตผ้าไหม ทุกท่านที่มาที่บ้านนี้จะได้ชมวิธีการย้อมไหมด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ การออกแบบและมัดลายเส้นไหมก่อนนำไปทอ และการทอผ้าใต้ถุนเรือนแบบสมัยก่อน ซึ่งพัฒนาการทอผ้าสร้างลวดลายจากก้นหอยเล็กๆ ธรรมดาสู่ลายผ้ามัดหมี่ ลายลูกแก้ว ฯลฯ
หรือหากไม่มีเวลามากพอที่จะแวะไปเรียนรู้ ไล่ดูทุกบ้านให้ครบทุกกลุ่มทุกหลัง (ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราขอแนะนำอย่างที่สุด เพราะแต่ละบ้านแต่ละกลุ่มก็จะมีเทคนิคต่างๆ กันไปค่ะ) ก็สามารถไปดูผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของช่างทอจากทั้งตำบลได้ที่ “กลุ่มอารยธรรมไหมสวาย” หรือไปที่บริเวณถนนหน้า อบจ.สวาย ทุกวันที่ 7, 17 และ 27 ของทุกเดือน ที่จะมี “ตลาดนัดผ้าไหม” มีการออกร้านจากกลุ่มผ้าไหมทุกกลุ่ม นำเอาผ้าไหมสวยๆ มาขายให้กับผู้ที่สนใจในราคาแสนจะเป็นมิตรอีกด้วยค่ะ
ปัจจุบันทางชุมชนสวายมีกิจกรรม One day Trip สำหรับให้นักท่องเที่ยว หรือผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ตามจุดต่างๆ ที่ทางชุมชนได้กำหนดไว้ ซึ่งล้วนแต่เป็นจุดเรียนรู้ที่สำคัญในเส้นทางไหมทั้งสิ้น รวมอาหาร 1 มื้อ อาหารว่าง 2 มื้อ รถนำเที่ยว(รถอีเต๊ะ) พร้อมวิทยากรนอกจากนี้ยังมีโปรแกรมพาล่องเรือชมวิว ที่สำคัญทุกท่านที่มาร่วมทริปนี้ จะได้รับของขวัญต้อนรับเป็นผ้าพันคอไหม 1 ชิ้น ด้วยนะคะ หากสนใจสามารถติดต่อได้ที่ อบต. สวาย และกลุ่มหัตถกรรมสตรีทอผ้าไหมบ้านสวาย หรือติดต่อโดยตรงที่ “พี่หมาง - สิริญชัย ใจตึก” ไกด์ประจำหมู่บ้าน ที่หมายเลขโทรศัพท์ 087 – 9623472 ค่ะ ดีและคุ้มขนาดนี้ อย่าพลาดเป็นอันขาดเลยนะคะประเพณีการแต่งงานของบ้านสวายตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่
ฝ่ายชายจะเริ่มประดิษฐ์กี่ทอ สลักลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เพื่อเป็นเครื่องสมาอย่างหนึ่งที่มอบให้หญิงยอดรักในพิธีแต่งงาน ขณะเดียวกัน
ฝ่ายหญิงจะเริ่มทอผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มทั้งผ้าฝ้าย และผ้าไหม โดยใช้กี่ทอผ้าของแม่
เพื่อมอบให้กับฝ่ายชายอันเป็นเครื่องผูกมัดความรักของทั้งสอง
ลายที่หลากหลายกับความซับซ้อนของผ้าทอ คือเครื่องการันตีความเก่งกาจ
และเหมาะสมแก่ชายคู่ครอง ด้วยเหตุนี้เอง ทุกบ้านจึงมีเครื่องทอเป็นสมบัติประจำบ้านอุตมะไหมไทย
ได้รับการพัฒนาโดย“นายสมบัติ อุตมะ” ที่สร้างชื่อให้ผ้าไหมจากบ้านสวายโด่งดังในระดับประเทศ จากการเป็นผ้านุ่งที่ใช้ในการถ่ายทำละครนาคี “อุตมะไหมไทย” นี้เป็นกลุ่มผ้าไหมทอมือกี่โบราณ สร้างลายเชิงประยุกต์ และทอแบบพิเศษให้มีเชิงในตัว ใช้เทคนิคการย้อมแบบสไลด์สี ซึ่งเป็นที่มาของลายนาคี และด้วยเทคนิคพิเศษของทางร้าน โดยจะทำการมัดหมี่เอง ย้อมเอง และทอเอง (แต่หากมีการสั่งซื้อในจำนวนมาก ก็ต้องมีการจ้างสมาชิกในเครือข่ายของทางร้านทอด้วยเช่นกัน) จึงทำให้ร้านนี้มีความโดดเด่นกว่าร้านอื่นในเรื่องของลวดลายและการผสมสีนั่นเองค่ะ
ศูนย์เรียนรู้การผลิตผ้าไหม
“ป้าสำเนียง บุญโสตกร” ผู้ที่ถูกยกให้เป็นมือหนึ่งของประเทศในด้านการย้อมสีเส้นไหมด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ ได้เปิดบ้านเป็นศูนย์เรียนรู้การผลิตผ้าไหม ทุกท่านที่มาที่บ้านนี้จะได้ชมวิธีการย้อมไหมด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ การออกแบบและมัดลายเส้นไหมก่อนนำไปทอ และการทอผ้าใต้ถุนเรือนแบบสมัยก่อน ซึ่งพัฒนาการทอผ้าสร้างลวดลายจากก้นหอยเล็กๆ ธรรมดาสู่ลายผ้ามัดหมี่ ลายลูกแก้ว ฯลฯ
หรือหากไม่มีเวลามากพอที่จะแวะไปเรียนรู้ ไล่ดูทุกบ้านให้ครบทุกกลุ่มทุกหลัง (ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราขอแนะนำอย่างที่สุด เพราะแต่ละบ้านแต่ละกลุ่มก็จะมีเทคนิคต่างๆ กันไปค่ะ) ก็สามารถไปดูผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของช่างทอจากทั้งตำบลได้ที่ “กลุ่มอารยธรรมไหมสวาย” หรือไปที่บริเวณถนนหน้า อบจ.สวาย ทุกวันที่ 7, 17 และ 27 ของทุกเดือน ที่จะมี “ตลาดนัดผ้าไหม” มีการออกร้านจากกลุ่มผ้าไหมทุกกลุ่ม นำเอาผ้าไหมสวยๆ มาขายให้กับผู้ที่สนใจในราคาแสนจะเป็นมิตรอีกด้วยค่ะ


นอกจากปัจจัยขั้นพื้นฐาน
และเครื่องแสดงความพร้อมของผู้หญิง
ผ้าเองก็มีบทบาทหน้าที่อย่างมากในพิธีกรรมซึ่งผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ฤดูร้อน
– เซ่นปู่ตาเปิดป่า-เปิดดง บุญข้าวจี่ บุญพะเวส สงกรานต์ และบุญผ้าป่า, ฤดูฝน – เข้าพรรษา เทศการแห่เทียน การแต่งงาน, ฤดูหนาว – บุญกฐิน ลอยกระทง บุญข้าวเปลือก
บุญข้าวจี่ เป็นต้น รวมไปถึงพิธีการเกิด พิธีบวช และพิธีศพ
ซึ่งจะขาดผ้าเพื่อประกอบพิธีกรรมไม่ได้เลย

ความแนบชิดระหว่างชีวิตกับผ้าทอ
แทบจะแยกกันไม่ออก
สำหรับผู้หญิงในชุมชนบ้านสวาย
สืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าด้วยวิธีครูพักลักจำ ด้วยบริบทและต้นทุนที่พร้อม
เด็กหญิงของทุกบ้านจะทอผ้าใช้เองเป็น และเริ่มลวดลายยากๆ ตามความชำนาญที่สั่งสมมา
ไม่เพียงแค่เด็กหญิงเท่านั้น ทุกวันนี้เด็กชายที่มีความสนใจก็สามารถฝึกหัดได้เช่นกัน
การทอผ้า จึงไม่ใช่เรื่องของหญิงเพียงฝ่ายเดียวสำหรับที่แห่งนี้

ทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของคนในชุมชนนี้
ไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสินค้า เพราะหากเป็นเช่นนั้น
เจ้าของทางวัฒนธรรมจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมไป
ในแง่หนึ่งก็ลดทอนความเป็นตัวตนของชุมชนลง แต่สำหรับบ้านสวาย จ.สุรินทร์
ได้สร้างสรรค์คุณค่าจากสิ่งที่มีทุกครัวเรือน
เรียงร้อยจนเกิดเป็นลวดลายที่มีเรื่องเล่าให้ขับขานไม่รู้จบ
ไม่ใช่เพราะผ้าทอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็นทุกส่วนของชีวิตพวกเขาต่างหาก
สำหรับคนในชุมชนสวาย
มองว่าผ้าหนึ่งผืน ไม่ได้บอกราคาตีมูลค่า หรือดีเด่ไปกว่าความงามจากสวมใส่
แต่หากมีความหมายมากกว่า ‘ชีวิต’ ที่คนในบ้านสวายร่วมกันถักทอ
เกิดเป็นลวดลายที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ

“ผ้าไหม”
นอกจากจะเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์แล้ว
การทอผ้าไหมยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรม สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
ไม่ต่างจากผ้าไหมสุรินทร์ ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาช้านาน
เราสามารถพบเห็นการทอผ้าไหมกระจายอยู่แทบทุกหมู่บ้านทั่วทั้งจังหวัด
และผ้าไหมสุรินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียง
และรายได้เสริมที่สำคัญแก่เกษตรกร มูลค่าในแต่ละปีหลายร้อยล้านบาท
ข้อมูลระบุว่าลายผ้าไหมมัดหมี่ในประเทศมีประมาณ 800 ลาย ที่จังหวัดสุรินทร์มีการประดิษฐ์สร้างสรรลายผ้ามากกว่า 500 ลาย หนึ่งในนั้นคือที่ตำบลสวาย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด และยิ่งมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นภายหลังจาก จนกระทั่งกองละคร “นาคี” เลือกใช้ผ้าไหมมัดหมี่ ซิ่นเขียวเชิงแดง จากบ้านสวาย ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่ทอมือกี่โบราณแบบ 6 ตะกอ จากอุตมะไหมไทย เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ผ้าไหมบ้านสวาย ผ้าไหมสุรินทร์ ผ้าไหมมัดหมี่ โดยจุดเด่นของผ้าไหมมัดหมี่สุรินทร์คือการออกแบบลวดลายผ้าที่มีความหลากหลายสลับซับซ้อน การมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าโดยวิธีมัดแล้วย้อมสี เพื่อให้ได้รูปร่างลายผ้าตามที่ต้องการ
นายทวีป บุญวร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย ให้ข้อมูลว่า ที่ตำบลสวาย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร ประกอบด้วย 14 หมู่บ้าน ประมาณ 95 % ของทั้งตำบลเป็นครัวเรือนที่ทอผ้าไหม มีบางครอบครัวทำไหมครบวงจร ตั้งแต่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าจนเป็นผืนไหมที่งดงาม ซึ่งคนตำบลสวายทำผ้าไหมกันมาตั้งแต่อดีต มีการรวมกลุ่มทำผ้าไหมแต่ขาดที่ปรึกษา จึงทำให้การรวมกลุ่มที่ไม่เข้มแข็งจนบางกลุ่มสลายไป จึงมาคิดหาวิธีแก้ วางแผน ให้เกิดการทำงานร่วมกัน หาวิธีการใหม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม ในแผนการพัฒนาได้คิดเกี่ยวกับการช่วยเหลือสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ขึ้นมาใหม่ จะมีการจัดอบรมให้ความรู้ มีการนำวิทยากรที่เชียวชาญเรื่องผ้าไหม เรื่องเกษตรอินทรีย์ การท่องเที่ยว โดยจะทำให้สอดคล้องกัน
จังหวะที่รัฐบาลมีนโยบายมั่นคง มั่งคั่ง โดยใช้ประชารัฐเป็นการขับเคลื่อนเพิ่มเติม พร้อมกับภาคประชาสังคมที่มาร่วมคุยกันงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมสุรินทร์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐจึงเกิดขึ้น และชาวบ้านเขาดำเนินการเรื่องผ้าไหมอยู่แล้ว ถ้าจัดงานจะทำให้ชาวบ้านมั่นใจ และทางประชารัฐมาเสริมหนุนด้านการตลาด มองภาพดูแล้วน่าจะประสบความสำเร็จได้
คาดหวังว่าชาวสวายจะมีความภูมิใจ ความเข้าใจด้วยกัน ว่าการทอผ้าไหมมาแต่โบราณ มีลวดลายมากมายอยู่ที่สวาย มีทั้งลายในอดีตที่บรรพบุรุษคิดมา รวมทั้งมีลายรุ่นใหม่ที่ประยุกต์ในการพัฒนาผ้าไหม มีความสวยงาม อลังการ ถ้าชาวสวายได้มีโอกาสโชว์ผลงาน เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับจังหวัดต่างๆ ได้ทราบ แล้วเข้ามาซื้อหา มาท่องเที่ยว ชาวบ้านจะได้ประโยชน์ในหลายๆ ทาง
นายทวีป กล่าวต่อว่า ทางองค์การบริหารส่วนตำบลมีแนวคิดที่จะพัฒนาศูนย์ผ้าไหมเกิดขึ้นให้ได้ เป็นศูนย์กลางในยามนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือน ก็สามารถรวบรวมผลผลิตผ้าไหมจากครัวเรือนในตำบลเพื่อพร้อมจำหน่าย ส่วนการท่องเที่ยวจะมีการปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ศาสนสถาน เขา แหล่งน้ำ ผ้าไหม เซรามิก เกษตรอินทรีย์ จะมีการสำรวจข้อมูล และความคิดเห็นจากกลุ่มต่างๆ ในตำบล โดยจะนำเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องลงชุมชนหาแนวทางการพัฒนากลุ่มผ้าไหมต่างๆ ให้เข้มแข็ง น่าจะสานต่อให้การทำผ้าไหมสู่ระดับต่างๆ ทั้งอำเภอ จังหวัด และระดับชาติ
เพื่อพัฒนาให้เกิดความเป็นธรรมกับกลุ่มที่ทอผ้าแล้วขายได้ราคาต่ำ เราจะพัฒนาทั้งคุณภาพของการทอผ้า และพัฒนาตลาดให้เกิดราคาที่เป็นธรรม คนฐานะไม่ดี ก็เร่งผลิตงานเพื่อที่จะได้เงินเร็วจึงทำให้งานออกมาไม่มีความปราณีตเท่าที่ควร คนที่มีทุนก็มารับซื้อ เพื่อขายให้กับพ่อค้าคนกลาง หรือบางครั้งก็มีนายทุนเข้ามาหลอกว่าให้ราคาดีแล้วเอาผ้าไปก่อนขายได้จึงนำเงินมาให้ แต่ก็มีการหนีไม่มาจ่ายก็มี
นายสมบัติ อุตมะ ชาวบ้านตำบลสวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ เล่าให้ฟังว่า การหันมาทำผ้าไหม เพราะภรรยาพาทำ ตนเองจะช่วยในการมัดลาย กับย้อมผ้า ซึ่งทำมา 20 กว่าปีมาแล้ว เริ่มต้นก็เข้าร่วมกับกลุ่มผ้าไหมที่สุรินทร์ กับกลุ่มชุมชนสุรินทร์ภักดีที่เป็นกลุ่มผลิตผ้าไหม ตนจะเป็นฝ่ายผลิต ที่ผ่านมาผลิตผ้ามานับไม่ถ้วนแล้ว ปัจจุบันจะส่งผ้าอาทิตย์ละประมาณ 20 ผืน ราคาส่งผืนละ 3,500 บาท โดยอาศัยการกระจายงานให้กับกลุ่มแม่บ้านที่อำเภอกระสัง กับอำเภอห้วยลาด จังหวัดบุรีรัมย์ช่วยในการทอ
ทุกวันนี้รับสั่งออเดอร์ทางโซเชียลมีเดีย โดยมีลูกสาวกับลูกเขยเป็นคนทำเพจให้ชื่อว่า “ผ้าไหมสุรินทร์ อุตมะไหมไทย” และ “ส.สุรินทร์ไหมไทย” ทำมาได้ประมาณ 2 ปี เป็นหน้าร้านที่รับออเดอร์ ที่ให้ผลตอบรับอย่างดี ทุกคนให้การยอมรับ แรกๆ คนยังมีความกังวลว่าเราจะหลอกเขาหรือไม่ เราจะมีการส่งลายผ้าให้ลูกค้าได้ดูว่าตรงกับความต้องการไหม ถ้าลายยากราคาสูงสุดก็เป็นหมื่น จนกองละครนาคีได้เข้ามาสั่งผ้าเพื่อใช้ในละคร เป็นที่ฮือฮาและมีคนตามเข้ามาสั่งผ้าไหมแบบนาคี เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนทำนาเป็นอาชีพหลัก แต่วันนี้ทอผ้าไหมเป็นหลักทำนาเป็นอาชีพเสริม โดยมีการแบ่งงานกันในครัวเรือน แม่ทอผ้า พ่อมัดลาย ลูกสาวปั่น ลูกเขยทำหน้าที่ขาย เมื่อก่อนก็ใช้ไหมบ้านแต่จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้น ปัจจุบันจะใช้ไหมตลาดเป็นหลัก ไหมพุ่งกิโลกรัมละ 1,750 บาท ส่วนไหมยืนกิโลกรัมละ 2,350 บาท เพราะต้องทำให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า
นายสมบัติ กล่าวในช่วงท้ายว่า ไหมมีความสำคัญ ใช้นุ่งห่ม ใช้ค้าขาย ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใส่ ผ้าไหมผูกพันธ์มาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ที่พากันทำมาถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นมรดกทางวัฒนธรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จากการทำผ้าไหมมากว่า 20 ปี ที่มีทุกวันนี้ได้เพราะไหม ทั้งบ้าน รถยนต์ เงินส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรี ค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็มาจากการทำผ้าไหม
นางสำเนียง บุญโสดากร กลุ่มสตรีทอผ้าตำบลสวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ เล่าให้ฟังว่า ผ้าไหม เกี่ยวข้องอยู่ในวิถีชีวิตของคนสุรินทร์มาเนิ่นนาน มีการใช้ผ้าไหมในทุกช่วงจังหวะของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย งานแต่งก็ต้องมีผ้าไหม งานตายก็ตั้งใช้ผ้าไหมในแบบหนึ่ง คนอีสานโดยส่วนใหญ่จึงนิยมเก็บสะสมผ้าไหมไว้เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ เป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล ตนทอผ้าไหมมาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนวันนี้กว่า 40 ปีแล้วที่ทอผ้าไหม จากการเรียนรู้จากแม่ และเรียนรู้จักการมัดหมี่ การสร้างลายผ้าเรื่อยมา จากการทอผ้าพื้นมีการสร้างลวดลายก้นหอยเล็กๆ ธรรมดา ปัจจุบันจนสามารถสร้างลายผ้ามัดหมี่ลายลูกแก้ว หรือลายต่างๆที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์
ที่ผ่านมาได้รับรางวัลจากการประกวดหลายรายการ และได้รางวัลที่ 1 ตั้งแต่ปี 2520 โดยพระองค์เจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จมาเยี่ยมชมถึงบ้านมาดูเราทอผ้าที่ใต้ถุนบ้าน มาดูย้อมผ้า มัดลาย เป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และได้กล่าวกับตนเองว่า “ต่อไปข้างหน้า เธอจะได้ดีเพราะผ้าไหม” ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ดีได้อย่างไรเพราะก็ทอผ้าไปตามวิถีชาวบ้าน พอนานไปถึงได้รู้ว่าเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวไว้
ผ้าไหมสามารถสร้างเศรษฐกิจให้เราได้ดีมาก ลูกเรียนจนจบก็เพราะขายผ้าไหมส่งลูกเรียน จนเรื่อยมาก็มีการประยุกต์ลายผ้าไหมต่างๆขึ้นเอง จากพื้นเรียบ ยกดอกลายลูกแก้ว ก็มีการเรียนรู้พุ่งกับการยกดอกก็พบว่ามันออกมาสวยงาม จนมีคนทำตามกันขึ้นมามากในภายหลัง ของที่ทำมีการยกดอกตั้งแต่ 3 ถึง 8 ตะกรอ ราคาผ้าที่ขายได้ต่ำสุด 4,000 บาท สูงสุดถึง 15,000 บาท เราทำราคาส่ง ไม่ได้ขายเอง ถ้าทำคนเดียวกว่าจะได้ผ้า 1 ผืน ต้องทำหลายอย่างตั้งแต่ฟอกไหม ล้างไหม กระตุกให้เรียงตรง แล้วนำไปย้อมรอบแรก ย้อมเข ล้างให้สะอาด เอามากรอใส่หลอด และคิดวางแผนสร้างลาย ทำการมัดหมี่ นำมาย้อมสีแดง ล้างตากแห้ง และนำมาหุ้ม และนำไปย้อมประดู่ และหลังสุดใส่โคลน จนนำไปทอ กว่าจะได้ผ้ามาหนึ่งผืนต้องผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน
การทอผ้าหนึ่งผืน ยิ่งถ้าปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองด้วยแล้วกว่าจะได้ผ้าหนึ่งผืนนั้นใช้เวลานานหลายเดือน ดังนั้นราคาผ้าผืนละ 8,000 บาท นั้นนับว่าไม่แพงเลย แต่เดี๋ยวนี้มีการแบ่งงานกันทำคนเลียงหม่อนก็เลี้ยงไป คนมัดหมี่ก็มัดไป กรอไหม ฯลฯ จนถึงการทอ เป็นการเฉลี่ยรายได้ให้กับคนในชุมชน ตอนทำก็มีความสุข เปิดวิทยุฟังไป ทอไป ยิ่งขายได้ยิ่งมีความสุข เพราะมันคือค่าใช้จ่ายในการครองชีพ
เรื่องกลุ่มหัตถกรรมสตรีทอผ้าไหมตำบลสวาย เมื่อก่อนเคยทำศูนย์เรียนรู้ขึ้นที่บ้าน แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ตนต้องการเห็นศูนย์เรียนรู้ และพิพิธภัณฑ์ไว้สำหรับจัดเก็บจัดแสดงผ้าไหม แสดงลวดลายต่างๆ ให้ลูกหลานและคนต่างถิ่นได้มีโอกาสมาศึกษาเรียนรู้ และร่วมกันสืบสานต่อไป นางสำเนียง กล่าวในตอนท้าย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจากผ้าไหมที่ตำบลสวาย แม้ที่ผ่านมาสถานการณ์การซื้อขายผ้าไหมสุรินทร์จากอดีตจนปัจจุบันสามารถเดินหน้าได้ต่อเนื่อง แต่เพื่อเป็นการทำความเข้าในสถานการณ์การผลิต การตลาด ปัญหาอุปสรรค รวมทั้งการค้นหาแนวทางการขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมให้มีความมั่นคงยั่งยืน ยังอยู่ในจุดของการเริ่มต้นสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งกลุ่มผ้าไหมที่ตำบลสวาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ขบวนองค์กรชุมชน และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีสุรินทร์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ต้องร่วมกันระดมความคิด วางแนวทาง แผนการพัฒนาและกลไกการขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมสุรินทร์ อย่างมีส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อยกระดับการผลิตและการตลาดให้เป็นที่ต้องการของทั้งในและต่างประเทศต่อไป
ข้อมูลระบุว่าลายผ้าไหมมัดหมี่ในประเทศมีประมาณ 800 ลาย ที่จังหวัดสุรินทร์มีการประดิษฐ์สร้างสรรลายผ้ามากกว่า 500 ลาย หนึ่งในนั้นคือที่ตำบลสวาย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด และยิ่งมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นภายหลังจาก จนกระทั่งกองละคร “นาคี” เลือกใช้ผ้าไหมมัดหมี่ ซิ่นเขียวเชิงแดง จากบ้านสวาย ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่ทอมือกี่โบราณแบบ 6 ตะกอ จากอุตมะไหมไทย เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ผ้าไหมบ้านสวาย ผ้าไหมสุรินทร์ ผ้าไหมมัดหมี่ โดยจุดเด่นของผ้าไหมมัดหมี่สุรินทร์คือการออกแบบลวดลายผ้าที่มีความหลากหลายสลับซับซ้อน การมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าโดยวิธีมัดแล้วย้อมสี เพื่อให้ได้รูปร่างลายผ้าตามที่ต้องการ
นายทวีป บุญวร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย ให้ข้อมูลว่า ที่ตำบลสวาย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร ประกอบด้วย 14 หมู่บ้าน ประมาณ 95 % ของทั้งตำบลเป็นครัวเรือนที่ทอผ้าไหม มีบางครอบครัวทำไหมครบวงจร ตั้งแต่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าจนเป็นผืนไหมที่งดงาม ซึ่งคนตำบลสวายทำผ้าไหมกันมาตั้งแต่อดีต มีการรวมกลุ่มทำผ้าไหมแต่ขาดที่ปรึกษา จึงทำให้การรวมกลุ่มที่ไม่เข้มแข็งจนบางกลุ่มสลายไป จึงมาคิดหาวิธีแก้ วางแผน ให้เกิดการทำงานร่วมกัน หาวิธีการใหม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม ในแผนการพัฒนาได้คิดเกี่ยวกับการช่วยเหลือสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ขึ้นมาใหม่ จะมีการจัดอบรมให้ความรู้ มีการนำวิทยากรที่เชียวชาญเรื่องผ้าไหม เรื่องเกษตรอินทรีย์ การท่องเที่ยว โดยจะทำให้สอดคล้องกัน
จังหวะที่รัฐบาลมีนโยบายมั่นคง มั่งคั่ง โดยใช้ประชารัฐเป็นการขับเคลื่อนเพิ่มเติม พร้อมกับภาคประชาสังคมที่มาร่วมคุยกันงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมสุรินทร์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐจึงเกิดขึ้น และชาวบ้านเขาดำเนินการเรื่องผ้าไหมอยู่แล้ว ถ้าจัดงานจะทำให้ชาวบ้านมั่นใจ และทางประชารัฐมาเสริมหนุนด้านการตลาด มองภาพดูแล้วน่าจะประสบความสำเร็จได้
คาดหวังว่าชาวสวายจะมีความภูมิใจ ความเข้าใจด้วยกัน ว่าการทอผ้าไหมมาแต่โบราณ มีลวดลายมากมายอยู่ที่สวาย มีทั้งลายในอดีตที่บรรพบุรุษคิดมา รวมทั้งมีลายรุ่นใหม่ที่ประยุกต์ในการพัฒนาผ้าไหม มีความสวยงาม อลังการ ถ้าชาวสวายได้มีโอกาสโชว์ผลงาน เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับจังหวัดต่างๆ ได้ทราบ แล้วเข้ามาซื้อหา มาท่องเที่ยว ชาวบ้านจะได้ประโยชน์ในหลายๆ ทาง
นายทวีป กล่าวต่อว่า ทางองค์การบริหารส่วนตำบลมีแนวคิดที่จะพัฒนาศูนย์ผ้าไหมเกิดขึ้นให้ได้ เป็นศูนย์กลางในยามนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือน ก็สามารถรวบรวมผลผลิตผ้าไหมจากครัวเรือนในตำบลเพื่อพร้อมจำหน่าย ส่วนการท่องเที่ยวจะมีการปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ศาสนสถาน เขา แหล่งน้ำ ผ้าไหม เซรามิก เกษตรอินทรีย์ จะมีการสำรวจข้อมูล และความคิดเห็นจากกลุ่มต่างๆ ในตำบล โดยจะนำเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องลงชุมชนหาแนวทางการพัฒนากลุ่มผ้าไหมต่างๆ ให้เข้มแข็ง น่าจะสานต่อให้การทำผ้าไหมสู่ระดับต่างๆ ทั้งอำเภอ จังหวัด และระดับชาติ
เพื่อพัฒนาให้เกิดความเป็นธรรมกับกลุ่มที่ทอผ้าแล้วขายได้ราคาต่ำ เราจะพัฒนาทั้งคุณภาพของการทอผ้า และพัฒนาตลาดให้เกิดราคาที่เป็นธรรม คนฐานะไม่ดี ก็เร่งผลิตงานเพื่อที่จะได้เงินเร็วจึงทำให้งานออกมาไม่มีความปราณีตเท่าที่ควร คนที่มีทุนก็มารับซื้อ เพื่อขายให้กับพ่อค้าคนกลาง หรือบางครั้งก็มีนายทุนเข้ามาหลอกว่าให้ราคาดีแล้วเอาผ้าไปก่อนขายได้จึงนำเงินมาให้ แต่ก็มีการหนีไม่มาจ่ายก็มี
นายสมบัติ อุตมะ ชาวบ้านตำบลสวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ เล่าให้ฟังว่า การหันมาทำผ้าไหม เพราะภรรยาพาทำ ตนเองจะช่วยในการมัดลาย กับย้อมผ้า ซึ่งทำมา 20 กว่าปีมาแล้ว เริ่มต้นก็เข้าร่วมกับกลุ่มผ้าไหมที่สุรินทร์ กับกลุ่มชุมชนสุรินทร์ภักดีที่เป็นกลุ่มผลิตผ้าไหม ตนจะเป็นฝ่ายผลิต ที่ผ่านมาผลิตผ้ามานับไม่ถ้วนแล้ว ปัจจุบันจะส่งผ้าอาทิตย์ละประมาณ 20 ผืน ราคาส่งผืนละ 3,500 บาท โดยอาศัยการกระจายงานให้กับกลุ่มแม่บ้านที่อำเภอกระสัง กับอำเภอห้วยลาด จังหวัดบุรีรัมย์ช่วยในการทอ
ทุกวันนี้รับสั่งออเดอร์ทางโซเชียลมีเดีย โดยมีลูกสาวกับลูกเขยเป็นคนทำเพจให้ชื่อว่า “ผ้าไหมสุรินทร์ อุตมะไหมไทย” และ “ส.สุรินทร์ไหมไทย” ทำมาได้ประมาณ 2 ปี เป็นหน้าร้านที่รับออเดอร์ ที่ให้ผลตอบรับอย่างดี ทุกคนให้การยอมรับ แรกๆ คนยังมีความกังวลว่าเราจะหลอกเขาหรือไม่ เราจะมีการส่งลายผ้าให้ลูกค้าได้ดูว่าตรงกับความต้องการไหม ถ้าลายยากราคาสูงสุดก็เป็นหมื่น จนกองละครนาคีได้เข้ามาสั่งผ้าเพื่อใช้ในละคร เป็นที่ฮือฮาและมีคนตามเข้ามาสั่งผ้าไหมแบบนาคี เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนทำนาเป็นอาชีพหลัก แต่วันนี้ทอผ้าไหมเป็นหลักทำนาเป็นอาชีพเสริม โดยมีการแบ่งงานกันในครัวเรือน แม่ทอผ้า พ่อมัดลาย ลูกสาวปั่น ลูกเขยทำหน้าที่ขาย เมื่อก่อนก็ใช้ไหมบ้านแต่จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้น ปัจจุบันจะใช้ไหมตลาดเป็นหลัก ไหมพุ่งกิโลกรัมละ 1,750 บาท ส่วนไหมยืนกิโลกรัมละ 2,350 บาท เพราะต้องทำให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า
นายสมบัติ กล่าวในช่วงท้ายว่า ไหมมีความสำคัญ ใช้นุ่งห่ม ใช้ค้าขาย ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใส่ ผ้าไหมผูกพันธ์มาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ที่พากันทำมาถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นมรดกทางวัฒนธรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จากการทำผ้าไหมมากว่า 20 ปี ที่มีทุกวันนี้ได้เพราะไหม ทั้งบ้าน รถยนต์ เงินส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรี ค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็มาจากการทำผ้าไหม
นางสำเนียง บุญโสดากร กลุ่มสตรีทอผ้าตำบลสวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ เล่าให้ฟังว่า ผ้าไหม เกี่ยวข้องอยู่ในวิถีชีวิตของคนสุรินทร์มาเนิ่นนาน มีการใช้ผ้าไหมในทุกช่วงจังหวะของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย งานแต่งก็ต้องมีผ้าไหม งานตายก็ตั้งใช้ผ้าไหมในแบบหนึ่ง คนอีสานโดยส่วนใหญ่จึงนิยมเก็บสะสมผ้าไหมไว้เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ เป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล ตนทอผ้าไหมมาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนวันนี้กว่า 40 ปีแล้วที่ทอผ้าไหม จากการเรียนรู้จากแม่ และเรียนรู้จักการมัดหมี่ การสร้างลายผ้าเรื่อยมา จากการทอผ้าพื้นมีการสร้างลวดลายก้นหอยเล็กๆ ธรรมดา ปัจจุบันจนสามารถสร้างลายผ้ามัดหมี่ลายลูกแก้ว หรือลายต่างๆที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์
ที่ผ่านมาได้รับรางวัลจากการประกวดหลายรายการ และได้รางวัลที่ 1 ตั้งแต่ปี 2520 โดยพระองค์เจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จมาเยี่ยมชมถึงบ้านมาดูเราทอผ้าที่ใต้ถุนบ้าน มาดูย้อมผ้า มัดลาย เป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และได้กล่าวกับตนเองว่า “ต่อไปข้างหน้า เธอจะได้ดีเพราะผ้าไหม” ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ดีได้อย่างไรเพราะก็ทอผ้าไปตามวิถีชาวบ้าน พอนานไปถึงได้รู้ว่าเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวไว้
ผ้าไหมสามารถสร้างเศรษฐกิจให้เราได้ดีมาก ลูกเรียนจนจบก็เพราะขายผ้าไหมส่งลูกเรียน จนเรื่อยมาก็มีการประยุกต์ลายผ้าไหมต่างๆขึ้นเอง จากพื้นเรียบ ยกดอกลายลูกแก้ว ก็มีการเรียนรู้พุ่งกับการยกดอกก็พบว่ามันออกมาสวยงาม จนมีคนทำตามกันขึ้นมามากในภายหลัง ของที่ทำมีการยกดอกตั้งแต่ 3 ถึง 8 ตะกรอ ราคาผ้าที่ขายได้ต่ำสุด 4,000 บาท สูงสุดถึง 15,000 บาท เราทำราคาส่ง ไม่ได้ขายเอง ถ้าทำคนเดียวกว่าจะได้ผ้า 1 ผืน ต้องทำหลายอย่างตั้งแต่ฟอกไหม ล้างไหม กระตุกให้เรียงตรง แล้วนำไปย้อมรอบแรก ย้อมเข ล้างให้สะอาด เอามากรอใส่หลอด และคิดวางแผนสร้างลาย ทำการมัดหมี่ นำมาย้อมสีแดง ล้างตากแห้ง และนำมาหุ้ม และนำไปย้อมประดู่ และหลังสุดใส่โคลน จนนำไปทอ กว่าจะได้ผ้ามาหนึ่งผืนต้องผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน
การทอผ้าหนึ่งผืน ยิ่งถ้าปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองด้วยแล้วกว่าจะได้ผ้าหนึ่งผืนนั้นใช้เวลานานหลายเดือน ดังนั้นราคาผ้าผืนละ 8,000 บาท นั้นนับว่าไม่แพงเลย แต่เดี๋ยวนี้มีการแบ่งงานกันทำคนเลียงหม่อนก็เลี้ยงไป คนมัดหมี่ก็มัดไป กรอไหม ฯลฯ จนถึงการทอ เป็นการเฉลี่ยรายได้ให้กับคนในชุมชน ตอนทำก็มีความสุข เปิดวิทยุฟังไป ทอไป ยิ่งขายได้ยิ่งมีความสุข เพราะมันคือค่าใช้จ่ายในการครองชีพ
เรื่องกลุ่มหัตถกรรมสตรีทอผ้าไหมตำบลสวาย เมื่อก่อนเคยทำศูนย์เรียนรู้ขึ้นที่บ้าน แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ตนต้องการเห็นศูนย์เรียนรู้ และพิพิธภัณฑ์ไว้สำหรับจัดเก็บจัดแสดงผ้าไหม แสดงลวดลายต่างๆ ให้ลูกหลานและคนต่างถิ่นได้มีโอกาสมาศึกษาเรียนรู้ และร่วมกันสืบสานต่อไป นางสำเนียง กล่าวในตอนท้าย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจากผ้าไหมที่ตำบลสวาย แม้ที่ผ่านมาสถานการณ์การซื้อขายผ้าไหมสุรินทร์จากอดีตจนปัจจุบันสามารถเดินหน้าได้ต่อเนื่อง แต่เพื่อเป็นการทำความเข้าในสถานการณ์การผลิต การตลาด ปัญหาอุปสรรค รวมทั้งการค้นหาแนวทางการขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมให้มีความมั่นคงยั่งยืน ยังอยู่ในจุดของการเริ่มต้นสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งกลุ่มผ้าไหมที่ตำบลสวาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ขบวนองค์กรชุมชน และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีสุรินทร์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ต้องร่วมกันระดมความคิด วางแนวทาง แผนการพัฒนาและกลไกการขับเคลื่อนคลัสเตอร์ผ้าไหมสุรินทร์ อย่างมีส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อยกระดับการผลิตและการตลาดให้เป็นที่ต้องการของทั้งในและต่างประเทศต่อไป


